วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

Animation Movies


Animation Movies


มู่หลาน



ฮวา มู่หลัน (จีน花木蘭พินอินHuā Mùlánเวด-ไจลส์Hwa1 Mu4-lan2เยว่พินFaa1 Muk6 laan4) เป็นบุคคลชาวจีนโบราณซึ่งไม่มีตัวตนอยู่จริง ปรากฏครั้งแรกในร้อยกรองชื่อ ลำนำมู่หลัน (木蘭辭; Ballad of Mulan) ที่บรรยายว่า นางไปรับราชการทหารแทนบิดาผู้สูงวัย ออกรบสิบสองปีจนมีความดีความชอบ แต่ไม่รับรางวัลใด ๆ ขอกลับคืนมาอยู่บ้านดังเดิมก็พอแล้ว
เรื่องมู่หลันนั้นได้รับการดัดแปลงเป็นสื่อบันเทิงสมัยใหม่หลายรูปแบบ ทั้งภาพยนตร์แอนิเมชัน ภาพยนตร์คนแสดง และละครโทรทัศน์

ประวัติ

ลำนำมู่หลัน นั้นปรากฏครั้งแรกในเอกสารที่เรียกว่า บันทึกลำนำเก่าใหม่ (古今樂錄; Musical Records of Old and New) ซึ่งจัดทำขึ้นในศตวรรษที่ 6 ราวร้อยปีก่อนตั้งราชวงศ์ถัง ปัจจุบัน เนื้อความดั้งเดิมของลำนำนั้นสูญหายไปสิ้นแล้ว ส่วนเนื้อความที่มีอยู่นั้นเอามาจากที่บันทึกไว้ในเอกสารอีกชุด เรียกว่า ประชุมงานสำนักสังคีต (樂府詩; Music Bureau Collection) ซึ่งกัว เม่าเชี่ยน (郭茂倩) จัดทำขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 11 หรือ 12 เพิ้อรวบรวมเนื้อเพลงและโคลงกลอนเอาไว้ โดยระบุว่า เอาเนื้อความมาจาก บันทึกลำนำเก่าใหม่
ร้อยกรองเรื่องนี้เป็นลำนำ แต่ละวรรคจึงมีพยางค์เท่ากันตามฉันทลักษณ์ จากเนื้อความที่มีอยู่เห็นได้ว่า แต่ละบทมีห้าวรรค แต่บางบทอาจเพิ่มเป็นเจ็ดหรือเก้าวรรค และลำนำมีคำคล้องจองทั้งสิ้นสามสิบเอ็ดคู่
ร้อยกรองไม่ได้รับความนิยมมากเท่าไร จนกระทั่งสมัยราชวงศ์หมิง สฺวี เว่ย์ (徐渭) จึงเอาไปแต่งเป็นบทงิ้วชื่อ แม่หญิงมู่หลัน (雌木蘭; The Female Mulan) หรือชื่อเต็มว่า แม่หญิงมู่หลันเป็นทหารแทนบิดา (雌木蘭替父從軍; The Heroine Mulan Goes to War in Her Father's Place) มีเนื้อหาสององก์[1][2] ทำให้เรื่องราวของมู่หลันมีชื่อขึ้นมา ต่อมาในสมัยราชวงศ์ชิง ฉู่ เหรินโฮ่ว (褚人獲) เอาไปแต่งเป็นส่วนหนึ่งของนิยายเรื่อง ซุยถัง (隋唐)มู่หลันจึงเป็นกลายเป็นตำนานเล่าขานในหมู่ชนชาวจีนทำนองเดียวกับเรื่อง ม่านประเพณี (梁山伯與祝英台; Butterfly Lovers)

ชื่อ

คำว่า "มู่หลัน" (木蘭) มีความหมายตรงตัวว่า กล้วยไม้ป่า (wild orchid) และหมายถึง แมกโนเลีย
ชื่อสกุลของมู่หลันนั้นปรากฏต่างกัน ใน พงศาวดารหมิง ว่า มู่หลันแซ่ "จู" (朱) แปลว่า ชาด ส่วนบทงิ้ว แม่หญิงมู่หลัน ว่า แซ่ "ฮวา" (花) ที่แปลว่า ดอกไม้ พงศาวดารชิง รับเอาแซ่ "ฮวา" นี้ไปบันทึกไว้[1] ในสมัยหลังมักถือกันว่า มู่หลันแซ่ "ฮวา" เพราะมีความหมายสอดคล้องกับชื่อตัวและมีสุนทรียรสทางโคลงกลอนมากกว่า

เนื้อเรื่อง

ลำนำมู่หลัน

ในช่วงเวลาตามท้องเรื่อง แต่ละสกุลต้องส่งบุรุษหนึ่งคนไปเป็นทหาร มู่หลันวิตกมาก เพราะชายในครอบครัวมีเพียงบิดาผู้ชรา และน้องชายซึ่งยังเล็กนัก มู่หลันจึงตัดสินใจไปเป็นทหารแทนบิดา มู่หลันแต่งกายเป็นชาย โดยที่เพื่อนร่วมทัพไม่รู้ระคายแม้แต่น้อย หลังจากรบทัพจับศึกได้สิบสองปี กองทัพก็คืนสู่พระนคร และมีการปูนบำเหน็จ มู่หลันมีความชอบมาก จะได้เป็นขุนน้ำขุนนาง แต่นางบอกปัดตำแหน่งลาภยศใด ๆ ขอเพียงม้าเร็วให้ขึ้นขี่กลับไปบ้านได้ทันใจก็พอ
เมื่อกลับถึงบ้าน ครอบครัวและชาวบ้านใกล้เรือนเคียงก็พากันมาแสดงความยินดี มู่หลันเข้าไปเปลี่ยนชุดเป็นหญิงออกมาเชิญเพื่อนทหารให้เข้าบ้าน คนทั้งนั้นจึงตกตะลึงไปตาม ๆ กัน

ซุยถัง

ฮวา มู่หลัน และครอบครัวซึ่งประกอบด้วย ฮวา หู (花弧) บิดาผู้สูงวัย มารดาแซ่ ยฺเหวียน (袁) น้องสาวหนึ่งคนชื่อ ฮวา โย่วหลัน (花又蘭) กับน้องชายวัยทารกอีกหนึ่งคน เป็นชาวเมืองข่านเติร์กตะวันตก (Western Turkic Khaganate) ซึ่งมีเหอซัวน่าข่าน (曷娑那可汗; Heshana Khan) ปกครอง ต่อมา เมืองข่านเข้าช่วยราชวงศ์ถังทำสงคราม ราชวงศ์ถังนั้นเพิ่งตั้งขึ้นและหมายจะยึดครองเมืองจีนทั้งแว่นแคว้น ฮวา หู ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร มู่หลันจึงแต่งองค์ทรงเครื่องเป็นบุรุษเพศแล้วไปรับราชการแทนบิดา กองทัพกบฏของโต้ว เจี้ยนเต๋อ (竇建德) จับนางได้ เซี่ยนเหนียง (線娘) ธิดาของโต้ว เจี้ยนเต๋อ จึงนำนางไปสอบสวน และพยายามให้มู่หลันเข้าเป็นพวก แต่เมื่อทราบว่า นางเป็นสตรี เซี่ยนเหนียงก็ประทับใจในความเสียสละของนางเป็นอันมาก หญิงทั้งสองจึงสาบานเป็นพี่น้องกัน มู่หลันก็นับถือโต้ว เจี้ยนเต๋อ เป็นบิดา และเข้าร่วมทัพกบฏ
ภายหลัง ฝ่ายกบฏแพ้สงครามและจะต้องถูกประหาร มู่หลันกับเซี่ยนเหนียงจึงมอบตัวต่อกองทัพถังและขอตายแทนคนทั้งหลาย หลี่ ยฺเหวียน (李淵) กษัตริย์ถัง ซึ้งพระทัยในความกตัญญูของสตรีทั้งสอง จึงอภัยโทษให้คนทั้งปวง ชายาของหลี่ ยฺเหวียน ซึ่งเป็นมารดาของหลี่ ชื่อหมิน (李世民) ประทานเงินรางวัลให้มู่หลัน และประทานสมรสให้เซี่ยนเหนียงกับลัว เฉิง (罗成) แม่ทัพถังที่รักใคร่ชอบพอกันอยู่
มู่หลันรับเงินแล้วก็เดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอน หวังใจว่า จะพากันย้ายรกรากไปเมืองเล่อโช่ว (樂壽) ซึ่งเคยเป็นที่มั่นกบฏ และปัจจุบันคือเมืองชังโจว ในเทศมณฑลเซี่ยน มณฑลเหอเป่ย์สาธารณรัฐประชาชนจีน แต่เมื่อถึงบ้าน มู่หลันกลับพบว่า พ่อตายนานแล้ว ส่วนแม่ก็มีผัวใหม่แซ่เว่ย์ (魏) นอกจากนี้ ข่านยังมีรับสั่งเรียกนางไปเป็นสนม มู่หลันจึงฆ่าตัวตาย ก่อนตายได้สั่งให้โย่วหลัน น้องสาวเอาจดหมายไปให้เซี่ยนเหนียงที่เมืองจีน โย่วหลันจึงแต่งกายเป็นชายแล้วเดินทางไปพบลัว เฉิง สามีของเซี่ยนเหนียง แต่คนทั้งหลายจับได้ว่า แท้จริงแล้วชายหนุ่มที่มาส่งจดหมายนั้นเป็นหญิง ก็หัวเราะเยาะลั่น
เนื้อเรื่องว่า บิดาของมู่หลันเป็นชาวเติร์ก ส่วนมารดาเป็นจีน จึงมีผู้อธิบายว่า ที่มู่หลันกระทำอัตวินิบาตนั้น เพราะแม้ไม่ใช่จีนเต็มร้อย แต่ไม่ก็ประสงค์จะอยู่ในเงื้อมมือเจ้าแคว้นแดนอื่น

เจ้าหญิงโมโนโนเกะ

เจ้าหญิงจิตวิญญาณแห่งพงไพร หรือ โมะโนะโนะเกะฮิเมะ (ญี่ปุ่น: もののけ姫 Mononoke Hime ?) เป็นภาพยนตร์อะนิเมะแฟนตาซีอิงประวัติศาสตร์ ที่เขียนและกำกับโดยฮะยะโอะ มิยะซะกิแห่งสตูดิโอจิบลิ โมะโนะโนะเกะ (ญี่ปุ่น: "Mononoke" 物の怪 ?) ไม่ใช่ชื่อแต่เป็นคำที่ใช้เรียกภูตผีปีศาจ ภาพยนตร์เรื่องนี้เผยแพร่ในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม และ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542 ตามลำดับ
โมะโนะโนะเกะฮิเมะเป็นภาพยนตร์ย้อนยุคซึ่งมีฉากอยู่ในปลายยุคมุโระมะจิของญี่ปุ่น แต่แต่งเติมด้วยองค์ประกอบจากจินตนาการลงไปจำนวนมาก เนื้อเรื่องกล่าวถึงอะชิตะกะซึ่งเป็นคนภายนอกเข้ามายุ่งเกี่ยวกับพลังเหนือธรรมชาติที่ดูแลป่าและผู้คนของโลหะนครซึ่งใช้ทรัพยากรจากป่า ในเรื่องนี้มิได้แสดงถึงฝ่ายดีหรือฝ่ายชั่วที่เด่นชัด และจุดยืนของผู้สร้างภาพยนตร์ก็เปลี่ยนไปมาระหว่างทั้งสองฝ่าย ไม่มีชัยชนะของใครฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ชัดเจน มีเพียงความหวังที่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติจะดำเนินเป็นวัฎจักรต่อไป[1]
โรเจอร์ เอเบิร์ต จัดให้ภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ในอันดับที่หกในรายชื่อภาพยนตร์ที่ดีที่สุดสิบเรื่องแห่งปี พ.ศ. 2542 [2] โมะโนะโนะเกะฮิเมะ ยังเคยเป็นภาพยนตร์ที่สร้างรายได้สูงสุดในญี่ปุ่น ซึ่งถูกทำลายสถิติลงด้วยภาพยนตร์เรื่องไททานิคในหลายเดือนถัดมา[3] ปัจจุบันโมะโนะโนะเกะฮิเมะเป็นภาพยนตร์อะนิเมะที่ทำรายได้สูงที่สุดอันดับสี่ในญี่ปุ่น[ต้องการอ้างอิง] รองลงมาจาก เซ็น โทะ ชิฮิโระ โนะ คะมิกะกุชิ (Spirited Away) ใน พ.ศ. 2544 ฮารุ โนะ ยุโงะคุชิโระ (Howl's Moving Castle) ใน พ.ศ. 2547 และ โปเนียว ธิดาสมุทรผจญภัย ใน พ.ศ. 2551 ซึ่งทั้งหมดเป็นผลงานของมิยะซะกิทั้งสิ้น

Animation Movies


Animation Movies


Animation Movies


Animation Movies


Animation Movies


Animation Movies


Animation Movies


Animation Movies


Animation Movies


New Animation Movies


New Animation Movies


New Animation Movies


New Animation Movies


New Animation Movies


New Animation Movies


New Animation Movies


New Animation Movies


Animation Movies


Animation Movies


Disney Infinity


Top 20 Disney


Le fiabe Disney


^^


Disney


วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ไดโนเสาร์

ไดโนเสาร์ (อังกฤษ: Dinosaur) เป็นชื่อเรียกโดยรวมของสัตว์ดึกดำบรรพ์ในอันดับใหญ่ Dinosauria ซึ่งเคยครองระบบนิเวศบนพื้นพิภพ ในมหายุคมีโซโซอิก เป็นเวลานานถึง 165 ล้านปี ก่อนจะสูญพันธุ์ ไปเมื่อ 65 ล้านปีที่แล้ว คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าไดโนเสาร์เป็นสัตว์เลื้อยคลาน แต่อันที่จริงไดโนเสาร์เป็นสัตว์ในอันดับหนึ่งที่มีลักษณะก้ำกึ่งระหว่างสัตว์เลื้อยคลานและนก
คำว่า ไดโนเสาร์ ในภาษาอังกฤษ dinosaur ถูกตั้งขึ้นโดย เซอร์ ริชาร์ด โอเวน นักบรรพชีวินวิทยา ชาวอังกฤษ ซึ่งเป็นการผสมของคำในภาษากรีกสองคำ คือคำว่า deinos (δεινός) (ใหญ่จนน่าสะพรึงกลัว) และคำว่า sauros (σαύρα) (สัตว์เลื้อยคลาน)
หลายคนเข้าใจผิดว่า ไดโนเสาร์ คือสัตว์ที่อาศัยอยู่ในมหายุคมีโซโซอิกทั้งหมด แต่จริงๆ แล้ว ไดโนเสาร์ คือสัตว์ชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่บนพื้นดินเท่านั้น สัตว์บกบางชนิดที่คล้ายไดโนเสาร์ สัตว์น้ำและสัตว์ปีกที่มีลักษณะคล้ายไดโนเสาร์ ไม่ถือว่าเป็นไดโนเสาร์ เป็นเพียงสัตว์ชนิดที่อาศัยอยู่ในยุคเดียวกับไดโนเสาร์เท่านั้น
แม้ว่าไดโนเสาร์จะสูญพันธุ์ไปนานหลายล้านปีแล้ว แต่คำว่าไดโนเสาร์ก็ยังเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะไดโนเสาร์นั้นนับว่าเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยปริศนาและความน่าอัศจรรย์เป็นอันมากนั่นเอง


ประวัติการค้นพบ

มนุษย์ค้นพบซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์มาเป็นเวลานับพันปีแล้ว แต่ยังไม่มีผู้ใดเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเศษซากเหล่านี้เป็นของสัตว์ชนิดใด และพากันคาดเดาไปต่าง ๆ นานา ชาวจีนมีความคิดว่านี่คือกระดูกของมังกร ขณะที่ชาวยุโรปเชื่อว่านี่เป็นสิ่งหลงเหลือของสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปเมื่อครั้งเกิดน้ำท่วมโลกครั้งใหญ่ จนกระทั่งเมื่อมีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ในปี ค.ศ. 1822 โดย กิเดียน แมนเทล นักธรณีวิทยาชาวอังกฤษ ไดโนเสาร์ชนิดแรกของโลกจึงได้ถูกตั้งชื่อขึ้นว่า อิกัวโนดอน เนื่องจากซากดึกดำบรรพ์นี้มีลักษณะละม้ายคล้ายคลึงกับโครงกระดูกของตัวอิกัวนาในปัจจุบัน
สองปีต่อมา วิลเลียม บักแลนด์ (William Buckland) ศาสตราจารย์ด้านธรณีวิทยา ประจำมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด ก็ได้เป็นคนแรกที่ตีพิมพ์ข้อเขียนอธิบายเกี่ยวกับไดโนเสาร์ในวารสารทางวิทยาศาสตร์ โดยเป็นไดโนเสาร์ชนิด เมกะโลซอรัส บักแลนดี (Megalosaurus bucklandii) และการศึกษาซากดึกดำบรรรพ์ของสัตว์พวกกิ้งก่า ขนาดใหญ่นี้ก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากนักวิทยาศาสตร์ทั้งในยุโรปและอเมริกา
จากนั้นในปี ค.ศ. 1842 เซอร์ ริชาร์ด โอเวน เห็นว่าซากดึกดำบรรพ์ขนาดใหญ่ที่ถูกค้นพบมีลักษณะหลายอย่างร่วมกัน จึงได้บัญญัติคำว่า ไดโนเสาร์[1] เพื่อจัดให้สัตว์เหล่านี้อยู่ในกลุ่มอนุกรมวิธานเดียวกัน นอกจากนี้ เซอร์ริชาร์ด โอเวน ยังได้จัดตั้งพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ ขึ้น ที่เซาท์เคนซิงตัน กรุงลอนดอน เพื่อแสดงซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์ รวมทั้งหลักฐานทางธรณีวิทยาและชีววิทยาอื่น ๆ ที่ถูกค้นพบ โดยได้รับการสนับสนุนจากเจ้าชายอัลเบิร์ตแห่งแซกซ์-โคเบิร์ก-โกทา (Prince Albert of Saxe-Coburg-Gotha) พระสวามีของสมเด็จพระบรมราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร
จากนั้นมา ก็ได้มีการค้นหาซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์ในทุกทวีปทั่วโลก (รวมทั้งทวีปแอนตาร์กติกา) ทุกวันนี้มีคณะสำรวจซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์อยู่มากมาย ทำให้มีการค้นพบไดโนเสาร์ชนิดใหม่เพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก ประมาณว่ามีการค้นพบไดโนเสาร์ชนิดใหม่เพิ่มขี้นหนึ่งชนิดในทุกสัปดาห์ โดยทำเลทองในตอนนี้อยู่ที่ทางตอนใต้ของทวีปอเมริกาใต้ โดยเฉพาะประเทศอาร์เจนตินา และประเทศจีน

ลักษณะทางชีววิทยา

ไดโนเสาร์เป็นสัตว์เลื้อยคลานขนาดยักษ์ซึ่งพวกมันมีผิวหนังที่ปกคลุมเป็นเกล็ดเช่นเดียวกับ งู จระเข้ หรือ เต่า กระเพาะอาหารของไดโนเสาร์กินพืช มักมีขนาดใหญ่แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากเซลลูโลสของพืชทำให้บางครั้งมันจึงต้องกลืนก้อนหินไปช่วยย่อย ส่วนไดโนเสาร์กินเนื้อจะย่อยอาหาร ได้เร็วกว่า แต่กระนั้น ข้อมุลของไดโนเสาร์ยังไม่ทราบแน่ชัดนัก เนื่องจากไดโนเสาร์สูญพันธ์ไปหมดเหลือเพียงซากดึกดำบรรพ์ ดังนั้น นักบรรพชีวินวิทยาจึงต้องใช้ซากฟอสซิลนี้ในการสันนิษฐานของ ข้อมูลต่างๆ พฤติกรรม การล่าเหยื่อ และการดำรงชีวิตของไดโนเสาร์ขึ้นมาซึ่งอาจจะไม่ตรงกับความเป็นจริงเท่าไรนัก

วิวัฒนาการ

บรรพบุรุษของไดโนเสาร์คือ อาร์โคซอร์ (archosaur) ซึ่งไดโนเสาร์เริ่มแยกตัวออกมาจากอาร์โคซอร์ในยุค ไทรแอสซิก ไดโนเสาร์ชนิดแรกถือกำเนิดขึ้นราวๆ 230 ล้านปีที่แล้ว หรือ 20 ล้านปี หลังจากเกิดการสูญพันธุ์เพอร์เมียน-ไทรแอสซิก (Permian-Triassic extinction event|Permian-Triassic extinction) ซึ่งคร่าชีวิตของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกสมัยนั้นไปกว่า 90 เปอร์เซ็นต์
สายพันธุ์ไดโนเสาร์แพร่กระจายอย่างรวดเร็วหลังยุคไทรแอสซิก กล่าวได้ว่าในยุคทองของไดโนเสาร์ (ยุคจูแรสซิก และยุคครีเทเชียส) ทุกสิ่งมีชีวิตบนพื้นพิภพที่มีขนาดใหญ่กว่าหนึ่งเมตรคือไดโนเสาร์
จนกระทั่งเมื่อ 65 ล้านปีที่แล้ว การการสูญพันธุ์ครีเทเชียส-เทอร์เทียรี (Cretaceous-Tertiary extinction) ก็ได้กวาดล้างไดโนเสาร์จนสูญพันธุ์ เหลือเพียงไดโนเสาร์บางสายพันธุ์ที่เป็นบรรพบุรุษของนกในปัจจุบัน ยุคต่างๆของไดโนเสาร์
มหายุค เมโสโซอิค (Mesaozoic Era) 65-225 ล้านปี ในยุคนี้มี 3 ยุค คือ ยุค ไตรแอสสิก ยุคจูราสสิก ยุคครีเตเซียส และยุคซีโนโซอิกในยุคไตรแอสสิกนี้ สภาพอากาศในขณะนั้นจะมี สภาพร้อนและแล้งมากขึ้นกว่าในอดีต ทำให้ต้นไม้ใหญ่น้อยในเขตร้อนสามารถเจริญเติบโตได้ ดีมาก จนกระทั่ง "ไดโนเสาร์ ตัวแรก"ได้ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกนี้ ไดโนเสาร์กลุ่มแรกที่ได้กำเนิด ขึ้นมาจะมีขนาดเล็กเดิน 2 เท้า และมีลักษณะพิเศษ คือ เท้ามีลักษณะคล้ายกับเท้าของนก ต่อมา ในยุคจูราสสิกนี้ จัดว่าเป็นยุคที่เฟื่องฟูเป็นอย่างมาก บรรดาพืชพรรณธัญญาหารที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้ไดโนเสาร์จำนวนมากขยายพันธุ์ไปอย่างรวดเร็ว ทำให้มีร่างกายใหญ่โต ซึ่งส่วนใหญ่จะกินพืช เป็นอาหาร และยุคนี้ยังได้ ถือกำเนิด นก ขึ้นมาเป็นครั้งแรกอีกด้วย ต่อมาในยุคครีเตเชียสนี้ จัดว่า เป็นยุคที่ไดโนเสาร์นั้นรุ่งเรื่องที่สุด เพราะยุคนี้ไดโนเสาร์ ได้มีการพัฒนาพันธุ์ออกมาอย่างมากมาย

ยุคของไดโนเสาร์

ยุคไทรแอสสิก
การครอบ ครองโลกของไดโนเสาร์ในยุคนี้โลกถูกปกคลุมด้วยป่าไม้จำนวนมาก พืชตระกูลที่ใช้สปอร์ในการขยายพันธ์ประสบความสำเร็จและมีวิวัฒนาการถึงขั้นสูงสุด ในป่ายุคไตรแอสสิกช่วงแรกนั้นมีสัตว์ใหญ่ไม่มากนักสัตว์ปีกที่ใหญ่ที่สุดคือแมลงปอยักษ์ที่ปีกกว้างถึง2ฟุตและได้ชื่อว่าเป็นนักล่าเวหาเพียงชนิดเดียวของยุคนี้ เนื่องจากในช่วงปลายของยุคเปอร์เมียนเกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ของสิ่งมีชีวิตทำให้พวกสัตว์เลื้อยคลานกึ่งเลี้ยงลูกด้วยนมจำนวนมาก สูญพันธุ์ไปพวกที่เหลือได้สืบทอดเผ่าพันธุ์มาจนถึงต้นยุคไตรแอสสิกในกลุ่มสัตว์เหล่านี้เจ้าซินนอกนาตัสเป็นสัตว์นักล่าที่น่าเกรงขามที่สุด ในหมู่พวกมันและในช่วงนี้เองไดโนเสาร์ก็ถือกำเนิดขึ้นโดยพวกมันวิวัฒนาการมาจากสัตว์เลื้อยคลานที่เดินด้วยขาหลังอย่างเจ้าธีโคดอนซึ่งถือกันว่าเป็นบรรพบุรุษของไดโนเสาร์ การสูญพันธ์ครั้งใหญ่ในยุคเปอร์เมียนทำให้พวกมันสามารถขยายเผ่าพันธุ์ได้อย่างมากมายในช่วงต้นยุคไตรแอสสิกและกลายมาเป็นคู่แข่งของพวกสัตว์เลื้อยคลานกึ่งเลี้ยงลูกด้วยนมที่เหลือ ไดโนเสาร์ในยุคแรกเป็นพวกเดินสองขา เช่น พลาทีโอซอร์ ไดโนเสาร์กินพืชคอยาวที่เป็นบรรพบุรุษของพวก ซอโรพอด หรือเจ้าซีโลไฟซิส บรรพบุรุษของพวกกินเนื้อ นักล่าสองขาความสูง 1 เมตร การที่มันสามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยสองขาหลังทำให้พวกมันมีความคล่องตัวในการล่าสูงกว่า ซินนอกนาตัส หรืออีรีโทรซูคัสที่ยาวถึง 15 ฟุตซึ่งมีกรามขนาด ใหญ่และแข็งแรงนักล่าเหล่านี้ได้เปรียบซินนอกนาตัสและสัตว์เลื้อยคลานกึ่งเลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆทำให้พวกนี้ต้องวิวัฒนาการให้มีขนาดเล็กลงเพื่อที่จะหลบหนีพวกไดโนเสาร์ และหลีกทางให้เผ่าพันธุ์ไดโนเสาร์ก้าวมาครองโลกนี้แทนในที่สุด
ยุคจูราสสิก
ไดโนเสาร์ครอบครองโลกได้สำเร็จในตอนปลายยุคไตรแอสสิก จนเมื่อเข้าถึงยุคจูราสสิกพวกมันก็ขยายเผ่าพันธุ์ไปทั่วโลกในยุคนี้ผืนแผ่นดินถูกปกคลุมด้วยพืชขนาดยักษ์จำพวกสนและเฟิร์นอย่างไรก็ตามได้เริ่มมีพืชดอกปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในช่วงกลางของยุคนี้นับว่าเป็นจุดเริ่มของการขยายพันธุ์รูปแบบใ หม่ของพวกพืชในยุคจูราสสิกนับได้ว่าเป็นยุคที่พวกไดโนเสาร์คอยาวตระกูลซอโรพอด(Sauropod)ขยายเผ่าพันธุ์อย่างกว้างขวางพวกมันเป็นไดโนเสาร์ ขนาดยักษ์สายพันธุ์ที่รู้จักกันดีก็คือ แบรกคิโอซอรัส (Brachiosaurus) ดิปโพลโดคัส (Diplodocus) และอะแพทโตซอรัส (Apatosaurus)หรืออีกชื่อคือบรอนโตซอรัสนอกจากนี้ยังมีชนิดอื่นๆอีกมากมายสัตว์ยักษ์เหล่านี้ครั้งหนึ่งถูกมองว่า เป็นสัตว์ที่โง่และไม่อาจป้องกันตัวจากสัตว์นักล่าได้ทว่าในปัจจุบันนักโบราณคดีชีววิทยา (paleontology)เชื่อว่าพวกมันใช้หางที่หนาหนักศัตรูที่มาจู่โจมซึ่งนับว่าเป็นการตอบโต้ที่น่ายำเกรงไม่น้อยและเพราะหางที่ยาว และมีน้ำหนักมากนี่เองที่ทำให้พวกมันต้อง มีคอยาวเพื่อสร้างสมดุล ของสรีระของมัน
ยุคครีเตเซียส
ยุคครีเตเชียสเป็นยุคที่ต่อจากยุคจูแรสสิกสัตว์เลื้อยคลานเจริญมากในยุคนี้ ที่ประเทศอเมริกาก็มีการค้นพบสัตว์ทะเลที่เคยอาศัยอยุ่ในช่วงเดียวกันกับไดโนเสาร์ได้แก่ พวกพลีสิโอซอร์เช่น อีลาสโมซอรัส พวกกิ้งก่าทะเลโมซาซอร์อย่างไฮโนซอรัส และอาเครอนเป็นพวกเต่าอาศัยอยู่ในทะเล บนท้องฟ้าก็มีเคอาร์โคโทรุสซึ่งมีขนาดปีกยาวถึง 15 เมตร บินอยู่มากมายยุคนี้เป็นยุคที่ไดโนเสาร์มีการพัฒนาตัวเองอย่างมาก พวกซอริสเชียนที่กินเนื้อมีตัวขนาดใหญ่ได้แก่ อัลเบอร์โตซอรัส ไทรันโนซอรัสปรากฏในยุคนี้มีลักษณะดังนี้ไทรันโนซอรัสนั้นมีเล็บที่ขาหลังใหญ่โตและมีฟันแหลมยาวประมาณ 13 เซนติเมตร เพื่อใช้จับเหยื่อพวกซอริสเชียนที่กินทั้งพืชและสัตว์เป็นอาหารก็ได้แก่ ออนิโตมิมัสพวกออร์นิธิสเชียนมักจะเป็นพวกกินพืชพวกที่ถูกค้นพบครั้งแรกก็ได้แก่ อิกัวโนดอน แล้วก็พบ ฮิพุชิโรโฟดอน และ ฮาโดโรซอรัส พวกออร์นิธิสเชียน ได้แก่ ไทรเซอราทอปส์ แองคิโลซอรัส พบเจริญอยู่มากมาย แต่ว่าก่อนจะหมดยุคครีเตเชียส นั้นอากาศก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไดโนเสาร์บางพวกเริ่มตายลงและสูญพันธุ์หลังจากไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปแล้วสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมก็มีบทบาทขึ้นมาบนโลก

การจัดจำแนก

ไดโนเสาร์ถูกแบ่งออกเป็นสองอันดับใหญ่ ๆ ตามลักษณะโครงสร้างของกระดูกเชิงกราน คือ Saurischia (เรียกไดโนเสาร์ในอันดับนี้ว่า ซอริสเชียน) ซึ่งมีลักษณะกระดูกเชิงกรานแบบสัตว์เลื้อยคลาน มีทั้งพวกกินพืชและกินสัตว์ และ :en:Ornithischia|Ornithischia (เรียกไดโนเสาร์ในอันดับนี้ว่า ออร์นิทิสเชียน) มีกระดูกเชิงกรานแบบนกและเป็นพวกกินพืชทั้งหมด
  • ไดโนเสาร์สะโพกสัตว์เลื้อยคลาน หรือ ซอริสเชียน (จากภาษากรีก แปลว่าสะโพกสัตว์พวกกิ้งก่า) เป็นไดโนเสาร์ที่คงโครงสร้างของกระดูกเชิงกรานตามบรรพบุรุษ ซอริสเชียนรวมไปถึงไดโนเสาร์เทอโรพอด (theropod) (ไดโนเสาร์กินเนื้อเดินสองขา) และซอโรพอด (sauropod) (ไดโนเสาร์กินพืชคอยาว)
  • ไดโนเสาร์สะโพกนก หรือ ออร์นิทิสเชียน (จากภาษากรีก แปลว่าสะโพกนก) เป็นไดโนเสาร์อีกอันดับหนึ่ง ส่วนใหญ่เดินสี่ขา และกินพืช

ไดโนเสาร์ในวัฒนธรรมสมัยนิยม

แม้ว่ายุคสมัยของไดโนเสาร์สิ้นสุดลงเป็นเวลาหลายสิบล้านปีแล้ว แต่ปัจจุบันไดโนเสาร์ยังคงปรากฏอยู่ในวัฒนธรรมสมัยนิยมและวิถีชีวิตประจำวันของมนุษย์ นิยายหลายเล่มมีการกล่าวถึงไดโนเสาร์ เช่น เพชรพระอุมา ของ พนมเทียน, เดอะลอสต์เวิลด์ (:en:The Lost World (Arthur Conan Doyle)|The Lost World) ของ เซอร์ อาเทอร์ โคแนน ดอยล์, และ "จูราสสิค พาร์ค" (ซึ่งถ้าสะกดตามหลักการถ่ายคำต้องสะกดเป็น จูแรสซิกพาร์ก) ของ ไมเคิล ไครช์ตัน (Michael Crichton) ไม่เพียงแต่ในหนังสือนิยายเท่านั้น การ์ตูนสำหรับเด็กก็มีการกล่าวถึงไดโนเสาร์ด้วยเช่นกัน เช่นในเรื่อง มนุษย์หินฟลินท์สโตน (The Flintstones) โดราเอมอน ตำรวจกาลเวลาและก๊องส์
นอกจากนี้ ไดโนเสาร์ยังได้ปรากฏตัวอยู่ในภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น คิงคอง (ปี ค.ศ. 1933) และ จูราสสิค พาร์ค (ปี ค.ศ. 1993) ซึ่งภาพยนตร์เรื่องหลังนี้ดัดแปลงมาจากนิยายของ ไมเคิล ไครช์ตัน และประสบความสำเร็จอย่างสูง เป็นการปลุกกระแสไดโนเสาร์ให้คนทั่วไปหันมาสนใจกันมากขึ้น ในปีค.ศ. 2000 Walt Disney ได้นำไดโนเสาร์มาสร้างเป็น ภาพยนตร์แอนิเมชัน ชื่อเรื่องว่า Dinosaur
โครงกระดูกไดโนสาร์ทีเร็กซู ขณะจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ที่ชิคาโก
โครงกระดูกไดโนสาร์ทีเร็กซู ขณะจัดแสดงที่องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติที่คลอง 5 ปทุมธานี
ในปี 2549 มีภาพยนตร์เรื่องเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ (Natural History Museum) ชื่อ Night at the Museum ของ ชอน เลวี่ (Shawn Levy) มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับสิ่งต่างๆในพิพิธภัณฑ์ที่ต้องคำสาบให้กลับมีชีวิตขึ้นมาในตอนกลางคืน มีตัวเอกตัวหนึ่งเป็นไดโนเสาร์ชื่อซู (Sue) ซึ่งเป็นโครงกระดูกไดโนเสาร์ทีเร็กที่มีความสมบูรณ์ที่สุด มีขนาดลำตัวยาวกว่า 12.8 เมตร และความสูงถึงสะโพก 4 เมตร [3] ปัจจุบันจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ Field Museum ที่ชิคาโก
ระหว่าง 23 กรกฎาคม - 30 กันยายน พ.ศ. 2550 ทางองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช) ได้นำโครงกระดูกของซู มาจัดแสดงร่วมกับไดโนเสาร์ที่พบในประเทศไทย ที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ คลอง 5 ปทุมธานี
ในประเทศไทย ไดโนเสาร์ได้รับเลือกให้เป็นสัตว์ประจำจังหวัดของจังหวัดขอนแก่น ส่วนในภาษาไทยนั้น ไดโนเสาร์มีความหมายนัยประวัติสำหรับใช้เรียกคนหัวโบราณ ล้าสมัย และน่าจะสูญพันธุ์ไปตั้งนานแล้ว บ้างก็ใช้ว่า ไดโนเสาร์เต่าล้านปี

ทอย สตอรี่ 2,3

ทอย สตอรี่ 2 (อังกฤษ: Toy Story 2) เป็นภาพยนตร์แอนิเมชันของดิสนีย์ โดยคอมพิวเตอร์ เป็นเรื่องที่ 3 ของ พิกซาร์ ภาคต่อของทอย สตอรี่ ออกฉายในปี พ.ศ. 2542 ทอย สตอรี่ 2 ภาพยนตร์เรื่องนี้ยอดเยี่ยม ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำเรื่องนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้ 245,852,179 ดอลลาร์สหรัฐ และ 485,015,179 ดอลลาร์สหรัฐ งบประมาณได้ 115 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทอย สตอรี่ 2 คือหนังแอนิชั่นภาคต่อเรื่องแรกที่สามารถทำเงินได้มากกว่าหนังภาคแรก โดยทำลายสถิติรายได้เปิดตัวสัปดาห์แรกบนบ๊อกซ์ออฟฟิศทั้งในอเมริกา, อังกฤษ และ ญี่ปุ่น รวมทั้งกลายเป็นหนังแอนิชั่นที่ทำรายได้สูงสุดในปี 1999 โดยทำเงินในอเมริกาไปกว่า 245 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ และกวาดรายได้ทั่วโลกไปอีก 485 ล้านเหรียญ

ทอย สตอรี่2 เรื่องย่อ

ในระหว่างที่แอนดี้ไปเข้าค่าย ฤดูร้อน วูดี้ถูกอัล นักสะสมของเล่นจอมละโมบขโมยไป เพื่อเก็บให้ครบชุดคอลเล็คชั่นราวด์อัพแก๊ง ซึ่งกลายเป็นของหายากในปัจจุบัน เวลานี้ วูดี้ พร้อมด้วยเจสซี่ บูลส์อาย และคุณลุงนักขุดทอง สติงกี้ พีท กำลังจะได้ไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์ ซึ่งวูดี้จะได้ใช้ชีวิตที่เหลือทั้งหมดของเขาในตู้กระจกไปตลอดกาล มันขึ้นอยู่กับบัซ ไลท์เยียร์ มิสเตอร์โปเตโต้เฮด แฮม เร็กซ์ และ สลิงกี้ ด็อก ที่จะช่วยเพื่อนเขากลับมาและย้ำเตือนสติวูดี้ว่าการเป็นของเล่นที่แท้จริง นั้นคืออะไร ภารกิจช่วยชีวิตเพื่อนรักจากการถูกส่งตัวไปพิพิธภัณฑ์ของเล่น ซึ่งพวกเขาต้องผ่านเรื่องราวอันแสนยุ่งเหยิงครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อที่จะพาวู้ดดี้กลับบ้านก่อนที่แอนดี้จะกลับมาจากค่าย และได้เพื่อนใหม่ คือ เจสซี่ และ ม้า บุลส์อาย
 
ทอย สตอรี่ 3 (อังกฤษ: Toy Story 3) เป็นภาพยนตร์คอมพิวเตอร์แอนิเมชันสามมิติ จากสหรัฐอเมริกาซึ่งจัดฉายในปีค.ศ. 2010 และเป็นเป็นภาพยนตร์ภาคสามของซีรีส์ทอย สตอรี่ผลิตโดยพิกซาร์แอนิเมชันสตูดิโอส์ และจัดฉายโดยวอลต์ดิสนีย์พิกเจอส์
รายนามนักพากย์หลัก ซึ่งได้แก่ ทอม แฮงส์, ทิม อัลเลน, โจน คูแซก, ดอน ริกเกิลส์, เอสเทล แฮร์ริส, จอห์น แรทเซนเบอร์เกอร์, วอลเลซ ชอว์น, เจฟฟ์ พิดเจียน, โจดี้ เบนสัน, อาร์.ลี เออร์มี่, จอห์น มอร์ริส และลอว์รี่ เมทคาล์ฟ ทั้งหมดจะมาร่วมพากย์เสียงตามบทที่คุ้นเคยจากภาพยนตร์ชุดก่อนหน้า ส่วนจิม วาร์นี่ ผู้พากย์เสียงสลิงกี้ด็อกในสองภาคแรก กับโจ แรนฟ์ท ผู้พากย์เสียงวีซซี่กับแรนนี่ ได้เสียชีวิตก่อนที่จะเริ่มการสร้างภาพยนตร์ภาคสามนี้ ผู้ให้เสียงพากย์ในบทของสลิงกี้จึงถูกแทนที่โดยเบลค คล๊าก ในขณะที่ตัวละครของแรนฟ์ทกับตัวละครอื่นอีกหลายรายได้ถูกนำออกจากเรื่อง (อย่างไรก็ตาม วีซซี่ ก็ได้รับการกล่าวถึงในช่วงเริ่ม) ตัวละครใหม่ได้รับการพากย์เสียงโดย เนด บีทที่, ทิโมธี ดาลตัน, โบนนี่ ฮันท์, วูปี โกลด์เบิร์ก และไมเคิล คีตัน
ทอย สตอรี่ 3 กำหนดจัดฉายทั่วโลกช่วงเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม โดยเปิดตัวทำลายสถิติทำเงินแทนที่ภาพยนตร์เชร็ค 3ในวันแรกของอเมริกาเหนือ ของช่วงที่มีสภาวะเงินเฟ้อ และทำสถิติภาพยนตร์แอนิเมชั่นเปิดตัวสูงสุดเป็นอันดับสองต่อจากเชร็ค 3 ด้วยยอดทำเงินอย่างไม่เป็นทางการในเบื้องต้นที่ 110,307,189 ดอลลาร์สหรัฐ รวมทั้งยังถือเป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินในช่วงปลายสัปดาห์สูงสุดของพิกซาร์ฟิล์ม ตลอดจนเป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดในช่วงสุดสัปดาห์ของเดือนมิถุนายน ในขณะนี้ ทอยสตอรี่ 3 เป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงที่สุดประจำปี ค.ศ. 2010 ของสหรัฐอเมริกาและแคนาดา และเป็นภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดเป็นอันดับสองของปี ค.ศ. 2010 จากทั่วโลกอีกด้วย ทั้งยังทำลายสถิติแทนแวมไพร์ ทไวไลท์ 3 อีคลิปส์สำหรับการเปิดตัวช่วงสุดสัปดาห์ในสหราชอาณาจักรประจำปี ค.ศ. 2010 โดยทำลายสถิติที่ยอดทำเงิน 21 ล้านปอนด์ของการเปิดตัว และได้กลายมาเป็นภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดตลอดกาลอันดับสองของสหราชอาณาจักรต่อจากแฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบัน ที่ทำไว้เมื่อปี ค.ศ. 2004 ด้วยยอดทำเงิน 23.9 ล้านปอนด์ในช่วง
 
ทอย สตอรี่3 เรื่องย่อ
 
เมื่อแอนดี้มีอายุได้ 17 ปี เขาก็อยู่ในช่วงเลยวัยที่สนใจกับพวกของเล่นเก่าๆ และต้องเตรียมศึกษาต่อระดับวิทยาลัย เขาตัดสินใจที่จะนำวู้ดดี้ไปกับเขา และนำของเล่นชิ้นอื่นๆใส่ไว้ในถุงขยะโดยมีเจตนาที่จะเก็บของเหล่านี้ไว้ที่ห้องเพดาน แต่แม่ของแอนดี้ก็เข้าใจผิดคิดว่าของเหล่านี้กลายเป็นขยะ เพราะคิดว่าแอนดี้คงไม่ต้องการของเล่นเหล่านี้อีกต่อไป เหล่าของเล่นต่างพบว่านี่เป็นกล่องที่บริจาคถึงซันนี่ไซด์เดย์แคร์ ในขณะที่วู้ดดี้เป็นฝ่ายเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เขาจึงพยายามแก้ความเข้าใจผิดให้กระจ่าง แต่ของเล่นอื่นๆต่างก็ปฏิเสธที่จะรับฟัง
เหล่าของเล่นย้ายเข้าสู่ซันนี่ไซด์และได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากเดย์แคร์ทอย ซึ่งนำโดย ลอทส์-โอ'-ฮักกินส์-แบร์ (ลอสโซ่) ในขณะที่วู้ดดี้เป็นฝ่ายพยายามโน้มน้าวใจพวกเขาให้เดินทางกลับไปหาแอนดี้ แต่ดูเหมือนพวกเขาต่างมีความสุขกับการอยู่กับซันนี่ไซด์มากกว่า ทำให้วู้ดดี้ออกไปจากกลุ่มของพวกเขา ต่อมาไม่นานพวกเขาก็ได้รู้ว่า เด็กๆกลุ่มใหม่นั้นไม่เคยปฏิบัติกับของเล่นอย่างอ่อนโยนเลย อีกทั้งยังทรมานของเล่นชิ้นต่างๆด้วยความไร้เดียงสา ซึ่งลอสโซ่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังของเรื่องทั้งหมดนี้ เพื่อต้องการที่จะทารุณของเล่นที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ขณะเดียวกัน บาร์บี้ของมอลลี่ที่นำมาบริจาคด้วยได้เกิดตกหลุมรักกับเคน ผู้ซึ่งเป็นมือขวาของลอสโซ่ โดยเคนเองก็ตกหลุมรักบาร์บี้ด้วยเช่นกัน ส่วนบัซ ไลท์เยียร์ก็ได้ออกไปขอร้องลอสโซ่ให้มอบของเล่นเหล่านี้ไปอยู่กับเจ้าของเดิม แต่เขากลับถูกจับกุมโดยพวกของเล่นซันนี่ไซด์ และทำการรีเซ็ทบัซใหม่ ให้กลายเป็นผู้พิทักษ์อวกาศตามความต้องการของพวกเขาแทน และสั่งให้ไปจับตัวเหล่าบรรดาของเล่นที่เป็นเพื่อนของบัซไปคุมขังเอาไว้ทั้งหมด
แต่นับเป็นโชคดีที่ระหว่างทาง วู้ดดี้ซึ่งกำลังจะเดินทางกลับไปหาแอนดี้ที่บ้านนั้นได้พบกับบอนนี่ หนูน้อยผู้รักของเล่น ผู้ซึ่งมีแต่ของเล่นที่อยู่ในสภาพดี อาทิ เม่นเจ้าบทบาทในชุดเอี๊ยมที่ชื่อ คุณพริกเคิลแพนต์ และตัวตลกที่ชื่อ ชัคเกิ้ลส์ ซึ่งเคยมีเจ้าของคนเดียวกับลอสโซ่ และรู้เรื่องราวอันร้ายกาจของซันนี่ไซด์เดย์แคร์เป็นอย่างดี เมื่อเขาได้เล่าให้วู้ดดี้ฟัง วู้ดดี้จึงรู้ว่าเพื่อนๆของเขากำลังตกอยู่ในอันตราย วู้ดดี้จึงพยายามหาวิธีเข้าไปช่วยเพื่อนๆ และรวมพลังกันวางแผนเพื่อหนีกลับบ้านไปหาแอนดี้ให้ได้